ออกตัวไว้ก่อนเลย ว่าป้าไม่ใช่ไม่กลัวผี แต่ปกติสำหรับคนมีหน้าตาเป็นอาวุธ ป้าว่าไปญี่ปุ่นตอนนี้ ผีอาจจกลัวป้า hehehe
Besides อีกไม่กี่วันก็จะครบ 1ปี 3.11 ป้าว่า ทุกท่านน่าจะหาทางกลับบ้านหรือไปสู่แดนสุขาวดีกันหมดแล้ว อันนี้ เทียบจากสถิติเมืองไทย 1 ปีหลังสึนามิ เราก็กลับไปเที่ยวเขาหลักกันแล้ว
แต่จะบอกว่า สิ่งที่น่ากลัวไม่น้อยกว่าผีเพราะมองไม่เห็นเหมือนกัน
1) กัมมันตภาพรังสียังมีอยู่ไหม ขึ้นไปเที่ยวทางเหนือได้ไกลแค่ไหนถึงยังปลอดภัย
อย่างแรก โตเกียว (200km จากจุดเกิดเหตุ) และแม้กระทั่งนิกโก้ อยู่นอกเขตกัมมันตภาพแม้ว่าจะไปเมื่อตอนเกิดเหตุปีที่แล้ว ถ้าหากคุณไม่ได้เข้าไปในระยะ 30 km จากโรงไฟฟ้า อันนี้สามารถเข้าออกได้โดยไม่อยู่ในการควบคุม ความเข้มของกัมมันตภาพรังสีจะลดลงเป็น Exponential ตามระยะทางนะจ้ะ
ปัจจุบัน ( มีนา ๒๕๕๕) ระดับกัมมันตภาพรังสีในเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นได้ลดลงสู่ระดับปกติ ไม่แตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆในโลกที่ใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์และแม้แต่ในกทม.(0.046 μSv/h) หรือเชียงใหม่ (0.059 μSv/h) ลมประจำถิ่นของญี่ปุ่นนั้นพัดออกนอกชายฝั่ง ฝุ่นกัมมันตรังสีถูกพัดไปอเมริกามาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
สนง.ปรมาณูเพื่อสันติแนะนำว่า หากความเข้มเกิน 1 ไมโครซีเวิร์ตนี่ออกมาเดินเที่ยวไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นค่าปัจจุบันซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 20 เท่า ไม่น่ากังวลใจ หากว่าคุณเที่ยวที่เซนได 2 อาทิตย์ รับรังสี 0.060 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง x 24ชั่วโมง x14 วัน = 20 ไมโครซีเวิร์ต
X ray ครั้งหนึ่งเราได้รับรังสีประมาณ 0.3-0.6 mSv ( 300-600 ไมโครซีเวิร์ต )
อันตรายกรณีได้รับรังสีสูงในระยะเวลาสั้นๆ จะสังเกตผลได้ก็ต่อเมื่อรับรังสีเกินกว่า 250 mSv ( 250,000 ไมโครซีเวิร์ต ) เม็ดโลหิตลดลงชั่วคราว หากยังได้รับอยู่จนระดับ 500 mSv จึงจะเริ่มคลื่นไส้ อ่อนเพลีย
จะเห็นว่า ถ้าเราไม่เข้าไป Site Visit แถวเตาปฏิกรณ์ Fukushima Daiichi -ซึ่งเขาคงไม่ยอมให้คุณเข้าไป-คุณไปเที่ยวญี่ปุ่นได้แน่นอน
2) อิฉันโปรดปรานซุชิ อยากไปกินแบบ nama nama ของทะเลกินแล้วปลอดภัยไหม
เอ่อ กัมมันตภาพไม่เหมือนเชื้อโรค อาหารสุกไม่ได้มีรังสีน้อยกว่า เพราะฉะนั้นการกินปลาดิบไม่ได้มีความเสี่ยงสูงกว่าวาซาบิ นมสด ชอคโกแลตสดหรืออาหารปรุงสุกแต่อย่างใด หากท่านกำลังกังวลว่าปลาเหล่านั้น มีแหล่งอาหารเป็นผู้ประสบภัยหรือไม่ โปรดเข้าใจว่าซากปรักหักพังและผู้สูญหาย หากยังไม่ย่อยสลายตามธรรมชาตินั้น ขณะนี้น่าจะไปเที่ยวไกลถึง Hawaii แล้ว เพราะฉะนั้นโปรดอย่านึกถึงภาพปลาไหลหลังเมรุหรืออะไรทำนองนี้
แต่หากว่ากังวลว่าอาหารหรือแหล่งอาหารได้รับการปนเปื้อนแล้ว กัมตภาพรังสีจะสลายตัวหรือยังอันนี้พอเข้าใจ
การที่โรงไฟฟ้าต้องใช้น้ำทะเลจำนวนมหาศาลในการลดอุณหภูมิเตาปฏิกรณ์ไม่ให้หลอมละลาย ตลอดจนซากปรักหักพังดินทรายที่ปนเปื้อนรังสีและถูกคลื่นซัดลงทะเลไป ทำให้มีความกังวลถึงการควบคุมมวลน้ำ โคลน ดินปนเปื้อนรังสีที่ก่อให้เกิดการสะสมในแพลงตอนและสัตว์น้ำในแปซิฟิก ซึ่งในที่สุดก็จะกลายมาเป็นซูชิที่เรากินอยู่ได้
ปกติกัมตภาพรังสีจะลดไปครึ่งหนึ่งทุกช่วงเวลาหนึ่ง เรียกว่าครึ่งชีวิต Half Life โดยสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมี Half Life แตกต่างกันไป เช่น ไอโอดีน131 มีครึ่งอายุ 8 วัน ถ้าเก็บเป็นเวลา 40 วัน จะเหลือรังสี(พลังงาน)เพียง 3 % แต่บางตัวมีครึ่งอายุค่อนข้างนาน เช่น โคบอลท์-60 มีครึ่งอายุ 5.2 ปี,
ถ้าต้องการให้เหลือพลังงาน 3% ต้องเก็บนานถึง 25 ปี ส่วนแร่ซีเซียม-137 มีครึ่งอายุ 30 ปี ต้องใช้เวลานานถึง 150 ปี จึงจะเหลือพลังงาน 3%
ซึ่งการตรวจวัดค่าสารกัมมันตรังสีในน้ำทะเลรอบโรงไฟฟ้าล่าสุดพบซีเซียม-137 ที่ระดับ 3.3 Bq/L (โดยรัฐบาลญี่ปุ่น ก็ฟังหูไว้หูละกัน)
กระทรวงสาธารณสุข กำหนดมาตรฐานการเปื้อนสารกัมมันตรังสีในอาหาร ได้ไม่เกินปริมาณ
(๑) ไอโอดีน-131 ไม่เกิน 100 Bq/kg หรือ Bq/l
(๒) ซีเซียม-134 และซีเซียม-137 รวมกันไม่เกิน 500 Bq/kg หรือ Bq/l
สรุปว่า อยากกินก็กินได้ แต่อย่ากินปลาวันละเป็นตัน (เห็นฉันเป็นก๊อดซิลล่าหรือไง)
อย่าไปกินพวกสองหัว สามตา เรืองแสงได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารุ่นแม่มีการสะสมกัมมันตภาพรังสีจนก่อให้เกิดการกลายพันธ์นะจ้ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น